ประวัติ เจฟฟ์ เบซอสผู้ก่อตั้ง Amazon.com

ประวัติ เจฟฟ์ เบซอสผู้ก่อตั้ง Amazon.com

ประวัติ เจฟฟ์ เบซอสผู้ก่อตั้ง Amazon.com
1
“เจฟฟ์ เบซอสผู้ก่อตั้ง Amazon.com” สาหรับคอลัมน์ “มองซีอีโอโลก” (ลาดับที่ 196) หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ ประจาวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2522 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ www.vikrom.net, e-mail:vikrom@vikrom.net (ติดตามหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” ไฟฝัน วันเยาว์ ฉบับสมบูรณ์ , ผมจะเป็นคนดี:ก่อร่างสร้างธุรกิจ และ มองซีอีโอโลก เล่ม 1 -4 ล่าสุด “ผมจะเป็นคนดีฉบับย่อ” ราคา ๓๙ บาทเท่านั้น Only@7-11 ได้ที่ร้านหนังสือทุกแห่งและร้านสะดวกซื้อ 7-11 ,แฟมิลี่มาร์ททุกสาขา และรายการ “หมุนตามโลกกับวิกรม” ทุกวันจันทร์ เวลา 9.30-9.55 น. ทาง สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 )
เจฟฟ์ เบซอสเป็นคนหนุ่มที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของคนได้อย่างทั่วถึงทุกมุมโลก เรียกได้ว่าเขาสามารถประสบความสาเร็จจากธุรกิจนี้จนสามารถทารายได้อย่างเป็นกอบเป็นกาเลยทีเดียว
ถ้าเราจะมองว่าใครซักคนจะสามารถประสบความสาเร็จได้นั้น ซึ่งแรกที่ CEO โลกส่วนใหญ่ที่ผมนามาพูดมีกันแทบจะทุกคนคือการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทาในสิ่งที่ตนเองรัก และมีความสุขกับสิ่งที่ทา แต่ที่สาคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือสิ่งที่พวกเขากาลังทานั้นเป็นที่ต้องการของตลาด และตอบสนองความต้องการของมนุษย์จนสามารถสร้างความพอใจได้อย่างเต็มที่ หากสองสิ่งนี้สอดคล้องกัน ไม่ว่าคนจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ย่อมประสบความสาเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นโดยไม่ต้องเสียเวลาไปบนบานศาลกล่าวหรือหาเครื่องลางของขลังที่ไหน
ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและที่มาที่ไป ยกตัวอย่างจากชีวิตของผมไม่ว่าจะเป็นใครหรือองค์กรใดที่ผมมีความรู้จักใกล้ชิดสนมสนมหรือเคยทาธุรกิจด้วยนั้น ผมไม่เคยเห็นใครที่จะสามารถประสบความสาเร็จได้ด้วยดวงหรือโชคเพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทยหรือที่เวียดนาม กว่า 99% ล้วนแล้วแต่ร่ารวยกันทุกบริษัท อันเป็นผลมาจากการทาธุรกิจอย่างมีแบบแผน และมีนโยบายการตลาดที่ดี มีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สาคัญสิ่งที่พวกเขากาลังทาอยู่นั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้อย่างไม่มีขีดจากัด
2
ธุรกิจออนไลน์ช่วยอานวยความสะดวกให้กับคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างมาก เพราะในอดีตหากเราต้องการจะสื้อสินค้าอะไรสักอย่างนั้น เราจะต้องเดินทางไปที่ร้านค้าที่รวบรวมสินค้าต่าง ๆ ไว้ หรือไม่เช่นนั้นอาจต้องเดินทางไปยังแหล่งผลิตกันเลย แต่สาหรับในโลกทุกวันนี้ การซื้อขายสิ้นค้าง่ายเพียงปลายนิ้วสาผัส เป็นผลมาจากเทคโนโลยีที่ก้าวไกลมากขึ้น อินเตอร์เน็ตได้ปฏิวัติชีวิตของคนทั่วโลก ปัจจุบันเราสามารถดูตัวอย่างและทาการสั่งซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ได้ และเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีผู้รู้จักมากที่สุดและใช้บริการมากที่สุดคือ Amazon.com
Amazon.com เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์สัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 15 ปีที่แล้วเท่านั้นและดาเนินกิจการมาได้เพียง 14 ปี โดยเริ่มต้นจากการขายหนังสือก่อน แล้วจากนั้นจึงขยับขยายไปขายสินค้าอื่นๆ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ทาให้ Amazon.com กลายเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีคนรู้จักกันทั่วโลก
เจฟฟ์ เบซอส นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้ง Amazon.com แล้ว ปัจจุบันเขายังดารงตาแหน่งเป็นทั้งประธานคณะกรรมการผู้บริหารบริษัท (Chairman) ประธานกรรมการบริหารบริษัท (CEO) และประธานบริหารบริษัท (President) ของบริษัทนี้มานาน 15 ปี เรื่องราวชีวิตของเขาอาจช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่มองหา “โอกาส” ใหม่ๆให้แก่ชีวิตอยู่เสมอ
ประวัติ
เจฟฟรีย์ เพรสตัน เบซอส (Jeffrey Preston Bezos) เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1964 ที่เมืองอัลบูเคอร์คิว (Albuquerque) มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แม่ของเขาชื่อ แจ็คกี้ ไกซ์ จอน์เกนสัน (Jackie Gise) ตั้งท้องเจฟฟ์ตั้งแต่ตอนที่ยังมีอายุได้ 17 ปี จึงได้แต่งงานกับพ่อของเจฟฟ์ แต่หลังจากที่เจฟฟ์เกิดได้ไม่นานพ่อของเขาก็ทิ้งแม่และเขาไป
พอเจฟฟ์มีอายุได้ประมาณ 4 ขวบ แม่แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงของเขามีชื่อว่ามิเกล หรือ “ไมค์” เบซอส (Miguel ‘Mike’ Bezos) เป็นคนคิวบาและหนีมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ตอนที่มีอายุได้เพียง 15 ปี ไมค์ทางานไปด้วยขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัลบูเคอร์คิว (University of
3
Albuquerque) พอแม่ของเจฟฟ์แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงก็รับเขาเป็นลูก เลยทาให้เจฟฟ์ใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงมาตั้งแต่บัดนั้น
พ่อเลี้ยงของเขาทางานเป็นวิศวกรของบริษัทเอ็กซอน (Exxon) ทาให้ต่อมาครอบครัวของเขาต้องย้ายบ้าน 2 ครั้งเพื่อตามพ่อเลี้ยงไป ต่อมาแม่ของเจฟฟ์ก็มีน้องคนละพ่อให้กับเขา 2 คน เป็นน้องสาวชื่อคริสติน่า (Christina) และน้องชายชื่อมาร์ค (Mark) ที่มีอายุอ่อนกว่าเขา 5 ปี และ 6 ปี
เจฟฟ์ไม่เคยได้เจอหน้าพ่อแท้ๆ ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากพ่อทิ้งเขากับแม่ไปตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดได้ไม่นาน เขาจึงไม่มีความทรงจาใดๆ เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เขาโตขึ้นมาโดยที่มีไมค์เป็นพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งพอเขามีอายุได้ 10 ขวบแม่และพ่อเลี้ยงจึงได้เล่าความจริงให้เขาฟัง เรื่องนี้ไม่ได้ทาให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อพ่อเลี้ยงเปลี่ยนไป เพราะเขาถือว่าไมค์เป็นพ่อแท้ๆ ของเขามาโดยตลอดเพราะไมค์คือคนที่เลี้ยงเขามาไม่ใช่คนที่ทิ้งเขาและแม่ไป เจฟฟ์ไม่เคยนึกสงสัยหรืออยากรู้เลยว่าพ่อแท้ๆ ของเขาคือใคร มีอยู่ครั้งเดียวที่เขานึกถึงข้อเท็จจริงที่ไมค์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขาคือตอนที่เขาไปหาหมอแล้วหมอซักประวัติพ่อแม่เพื่อใช้ประการการวินิจฉัยในการตรวจ
ดั้งเดิมแล้วครอบครัวของฝ่ายแม่มีรกรากอยู่ที่เท็กซัส แต่ตาของเจฟฟ์คือลอว์เรนซ์ เพรสตัน ไกซ์ (Lawrence Preston Gise) ก่อนหน้านี้ตาของเขาทางานเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีอวกาศและระบบการป้องกันขีปนาวุธ เคยทางานเป็นผู้อานวยการส่วนภูมิภาคของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Commission) ที่ประจาอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์คิว ดังนั้นครอบครัวของแม่จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์คิวตอนที่ตามาทางาน แล้วต่อมาตาของเขาเกษียนก่อนกาหนดเพื่อไปทาฟาร์มปศุสัตว์ที่บ้านเดิมในเท็กซัส ไร่ของตามีเนื้อที่ประมาณ 6 หมื่นกว่าไร่ เจฟฟ์ได้ไปทางานช่วยตาในฟาร์มเป็นประจาทุกๆ ปี ในช่วงฤดูร้อนเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบจนโตเป็นวัยรุ่นอายุ 16 ปี เจฟฟ์ผูกพันกับตาของเขามาก โดยเขาจะเรียกตาว่า “ป๊อบส์”
4
สิ่งสาคัญอย่างหนึ่งของการเป็นชาวไร่คือการพึ่งตัวเองและทาอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การซ่อมรถแทรกเตอร์ วางท่อ ซ่อมที่ปั๊มน้า ไปจนกระทั่งถึงการรักษาสัตว์
บุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับเจฟฟ์มากที่สุดคือตาของเขา เพราะการที่เขาได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับตาทาให้เขาเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาจากตา สิ่งนี้สร้างนิสัยความอยากรู้อยากเห็นและการประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผ่านการให้เจฟฟ์เรียนรู้เกมและของเล่นเพื่อการศึกษาต่างๆ และตาก็คือที่ปรึกษาคนสาคัญของเขา นอกจากนี้บุคคลอื่นๆ ที่เป็นแบบอย่างให้กับเขาเช่นโทมัส เอดิสัน และวอลต์ ดิสนีย์ เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่สนใจเรื่องนักประดิษฐ์และการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มาตั้งแต่เป็นเด็ก
ช่วงเวลาที่เป็นเด็ก เด็กทุกคนย่อมมีความใฝ่ฝันว่าโตขึ้นมาอยากจะเป็นอะไร สาหรับเจฟฟ์แล้วอาชีพแรกที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นเมื่อตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ คืออาชีพนักโบราณคดี โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องอินเดียน่าโจนส์ พอโตขึ้นมาหน่อยเขาอยากเป็นนักบินอวกาศ พอตอนเรียนชั้นมัธยมอยากเป็นนักฟิสิกส์ และพอเรียนมหาวิทยาลัยอยากเป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์
สมัยเรียนเจฟฟ์เป็นเด็กดีและคร่าเคร่งกับการเรียนมาก เขาเป็นเด็กรักเรียนชอบไปโรงเรียน เขาส่งการบ้านตรงเวลา เป็นเด็กดีประจาห้อง เจฟฟ์ไม่เคยมีปัญหาสมัยเรียน ปัญหาที่เขาเคยพบตอนเรียนมีเพียงเรื่องที่เขา “เสียเกียรติ” ประจาห้องสมุดไปครั้งหนึ่งเนื่องจากเขาเผลอหัวเราะเสียงดังลั่นห้องสมุด เขาเป็นคนที่มีนิสัยหัวเราะเสียงดังลั่นติดตัว แม้กระทั่งน้องชายน้องสาวยังไม่ยอมไปดูหนังพร้อมกันกับเขาเนื่องจากอายที่เขาหัวเราะเสียงดังมากเกินไป
เขาเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือและเคยแข่งขันอ่านหนังสือว่าใครสามารถอ่านหนังสือได้มากที่สุด แต่เขาไม่ได้รางวัลชนะเลิศ เพราะมีคนอ่านหนังสือมากกว่าเขาเสียอีก เขาอ่านหนังสือหลายแนว หนังสือแนวที่เขาชอบเช่นนวนิยายวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เจฟฟ์มีฮีโร่เป็นนักประดิษฐ์ สนใจเรื่องการประดิษฐ์ และชอบอ่านหนังสือแนววิทยาศาสตร์ จึงทาให้เขาเป็นนักประดิษฐ์ตัวน้อย บ้านที่เขาอยู่เต็มไปด้วยสิ่งที่เขาประดิษฐึ้นมาเอง ทั้งสัญญาณเตือนภัย
5
หลากหลายรูปแบบและวิทยุสื่อสารที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเองเขาฉายแววความสามารถทางด้านการช่างและประดิษฐ์มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
ช่วงเจฟฟ์เรียนมัธยมปลายครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองไมอามี่ในรัฐฟลอริด้า เขาจึงได้ไปเข้าเรียนชั้นมัธยมที่นั่นในโรงเรียนชื่อว่า Miami Palmetto Senior High School และในระหว่างที่เรียนที่นี่เขาได้เข้าร่วมโครงการฝึกนักเรียนวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟลอริด้าอีกด้วย โดยในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับรางวัล Silver Knight Award ซึ่งมอบให้กับนักเรียนยอดเยี่ยมทางด้านต่างๆ ที่เรียนอยู่ในฟลอริด้า เนื่องจากว่าสมัยเรียนมัธยมเจฟฟ์มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักฟิสิกส์ ดังนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
ชีวิตการเรียนวิชาฟิสิกส์ของเจฟฟ์ในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันดาเนินไปเรื่อยๆ แต่การเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีแต่ระดับหัวกะทิไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อในวันหนึ่งเขาลงเรียนในวิชา Quantum Mechanics เขาค้นพบว่าตัวเองคงไม่อาจเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะทาเกรดได้ดี แต่ก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องลาบากอะไรเลย
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรียนวิชานี้เจฟฟ์ก็ได้ลงเรียนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer science) และพบว่าตัวเองถูกวิชานี้ดึงดูดเข้าไป และรู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิชาเอกจากฟิสิกส์มาเป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แทน สาหรับเจฟฟ์แล้วเขาคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เพราะตอนที่เขามีอายุได้ประมาณ 10 ขวบ เขาเคยได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมอยู่บ้าง พอโตขึ้นมาสมัยเรียนมัธยมเขาได้คอมพิวเตอร์ Apple II Plus มาใช้ และใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมัน เมื่อเข้าเรียนที่พรินซ์ตันถึงแม้ว่าเขาจะเรียนวิชาเอกฟิสิกส์แต่เขาก็ลงเรียนวิชาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทุกวิชา สาหรับนักศึกษาวิชาเอกฟิสิกส์อย่างเขานั้นเห็นว่าเป็นเรื่งที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานมาก ดังนั้น หลังจากที่เขาเรียนรู้ว่าเขาคงไม่สามารถเป็นนักฟิสิกส์ได้ เขาจึงเปลี่ยนมาเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แทน
6
ในปี ค.ศ. 1986 เจฟฟ์เรียนจบปริญญาตรีจากปรินซ์ตันด้วยเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมการไฟฟ้า ด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เมื่อเรียนจบ เขาเริ่มต้นการทางานกับบริษัทหุ้นในวอลสตรีทของกรุงนิวยอร์ก ณ เวลานั้นกาลังมีความต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มากเพื่อออกแบบคอมพิวเตอร์มาวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้น การทาอาชีพนี้ทาให้เขาได้ใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ผสมผสานกับการเงิน
เจฟฟ์เริ่มต้นทางานที่บริษัท Fitel ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อจับธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการค้าขายเงินตราระหว่างประเทศ โดยเขาทางานที่นี่ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 – 1988
จากนั้นย้ายไปทาที่บริษัท Bankers Trust โดยเริ่มจากตาแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์จนก้าวหน้าจนได้เป็นรองประธานบริษัท เขาทางานอยู่บริษัทนี้อีก 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988–1990 แล้วจากนั้นจึงย้ายไปทางานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. บริษัทที่ทาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ เจฟฟ์ทางานในตาแหน่งนักวิเคราะห์ทางด้านการเงิน และตาแหน่งหน้าที่การงานของเขารุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ได้เป็นถึงรองประธานอาวุโสของบริษัท
ในระหว่างที่ทางานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. เจฟฟ์ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่ชื่อแมคเคนซี่ ทัทเทิ้ล ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน โดยเธอทางานในตาแหน่งนักวิจัยของบริษัทและทาหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขา เจฟฟ์ตกหลุมรักเธอและทั้งคู่จึงแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1993 ตอนที่เจฟฟ์มีอายุได้ 29 ปี แต่ปัจจุบันภรรยาของเจฟฟ์มีอาชีพเป็นนักเขียน ทั้งคู่มีลูก 4 คน โดยเจฟฟ์ทางานในบริษัท E.D. Shaw & Co. ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1990 – 1994 โดยได้เป็นรองประธานอาวุโสของบริษัทในปี ค.ศ. 1992
แรกเริ่มแล้วอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในกิจการของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เพื่อเชื่อมสัญญาณระหว่างคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินอย่างเหตุภัยธรรมชาติหรือการโจมตีจากข้าศึก ต่อมาระบบนี้ได้แพร่ไปสู่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลและนักวิจัยในมหาวิทยาลัยเพื่อใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ต่อมาอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตหรือ World
7
Wide Web นั้นได้ขยายตัวมากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และ ณ ปี ค.ศ. 1994 ยังไม่มีการทาธุรกิจการค้าทางอินเตอร์เน็ต
การทางานในวงการนั้นทาให้เจฟฟ์ได้มีโอกาสรู้ว่าในตอนนั้น ณ ปี ค.ศ. 1994 โลก World Wide Web กาลังเติบโต (คือมีคนใช้งาน) ถึง 2,300% ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่สูงมาก และนั่นจึงเป็นจุดที่นามาสู่การก่อตั้ง Amezon.com โดยข้อมูลตรงนี้ทาให้เขาเห็นโอกาสที่จะลงทุนทาธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจที่เจฟฟ์ตัดสินใจลงทุนในโลกอินเตอร์เน็ตคือ e-commerce online ที่ทาการค้าขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต และตัวเลือกสินค้าที่เจฟฟ์ต้องการเอามานาเสนอในโลกอินเตอร์เน็ตของเจฟฟ์คือหนังสือ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ด้วยความที่เป็นคนที่มีพื้นฐานการเรียนวิทยาศาสตร์มาจึงทาให้เขาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุนทาธุรกิจอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน เขาศึกษาธุรกิจสั่งสินค้าทางจดหมายที่มียอดสูงที่สุด 20 อันดับแรก และหนังสือก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้ธุรกิจหนังสือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ เขาลงทุนบินข้ามทวีปจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก โดยจุดมุ่งหมายของเขาคือการเข้าร่วมงานการประชุมผู้ขายหนังสือแห่งสหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นที่เมืองลอสแองเจอลิส การเข้าร่วมงานนั้นทาให้เขารู้ว่าบริษัทขายส่งหนังสือเจ้าหลักๆ นั้นได้ทาการรวบรวมข้อมูลของหนังสือเข้าไปไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ขาดคือแหล่งข้อมูลเดี่ยวๆ แหล่งเดียวที่ผู้ซื้อจะสามารถเขามาตรวจสอบดูว่ามีหนังสือในสต็อกไหม ราคาเท่าไหร่ และจะสั่งซื้อผ่านแหล่งนั้นได้โดยตรง และแหล่งที่ว่านั้นก็คือโลกอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
เขาตัดสินใจที่จะทาธุรกิจของตัวเองนี้ที่ซีแอตเติ้ล ที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากนิวยอร์ก ดังนั้น เขาต้องลาออกจากงานเก่าและย้ายครอบครัว ถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสาคัญ เพราะงานที่เขากาลังทาอยู่ ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นอาชีพที่ดี มีความมั่นคง และมีรายได้งามมาก การที่จะเลิกทางานนี้เพื่อไปเสี่ยงก่อตั้งบริษัทขายหนังสืออนไลน์ถือว่าเป็นเรื่องที่บ้ามากในตอนนั้น
8
แต่เขาก็มุ่งมั่นเกินกว่าที่จะเปลี่ยนใจและจะไม่เสียใจถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลว เขาจะเสียใจมากกว่าหากเขาคิดแล้วแต่ไม่พยายามลงมือทา ดังนั้นเขาจึงลาออกและบอกภรรยา ซึ่งภรรยาของเขาไม่ได้คัดค้านเขา แต่พร้อมจะสนับสนุนสามีเพื่อทาสิ่งที่เขาต้องการ
ก่อนที่จะครบรอบวันเกิดครบ 30 ปี เจฟฟ์ลาออกจากงานเพื่อทาตามแผนที่เขาวางไว้ จากนั้นเขาและภรรยาก็บินไปที่เท็กซัสเพื่อไปรับรถยนต์คันหนึ่งที่พ่อเลี้ยงของเขามอบให้เป็นของขวัญ เขาและภรรยาขับรถคันนี้เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ซีแอตเทิ้ล
ตลอดการเดินทาง ภรรยาของเจฟฟ์เป็นคนขับรถให้ ในขณะที่เขาทางานวางแผนธุรกิจ และชื่อของบริษัทใหม่ของเขาคือ Amazon ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้าของอเมริกาใต้ที่ดูเหมือนว่าจะยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและมีแม่น้าสาขาเล็กๆ มากมาย
บริษัทของเจฟฟ์คือบ้านขนาด 2 ห้องนอน เขาทดลองเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แล้วจากนั้นก็ขอให้เพื่อนๆ และคนรู้จักจานวน 300 ร้อยคนทดลองใช้ระบบของเขา และจากการทดลองใช้จากบรรดาเพื่อนๆ คนรู้จักที่เข้ามาทดลองใช้ผ่านแหล่งคอมพิวเตอร์ตามที่ต่างๆ พบว่าโปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นมาทางานได้ดี และแล้ว ในวันที่ 16 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1995 เจฟฟ์เปิดทางานหน้าเว็บไซต์ Amazon.com ให้คนมาสั่งซื้อหนังสือได้โดยให้บริการทั่วโลกโดยไม่ได้จากัดแต่เฉพาะในสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว
เขาได้ขอให้เพื่อนๆ ที่ทดลองระบบของเขาช่วยกระจายข้อมูล และผลปรากฎว่าหลังจากที่เปิดทาการได้ 30 วัน Amazon.com สามารถขายหนังสือได้ใน 50 รัฐของสหรัฐฯ และมียอดสั่งซื้อจากประเทศอื่นๆ อีก 45 ประเทศโดยที่เขาไม่ได้ออกข่าวโฆษณาแต่อย่างใด พอเข้าเดือนกันยายน Amazon.com มีรายได้จากการขายหนังสือตกสัปดาห์ละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่เปิดทาการได้ไม่กี่เดือนแต่มีการตอบรับที่ดีขนาดนี้เขาและทีมงานของเขาจึงพัฒนาเว็บไซต์ต่อไป เช่น one-click shopping, คาวิจารณ์สินค้าจากลูกค้าที่ซื้อ และการตรวจสอบความถูกต้องของอีเมล์สั่งซื้อ
9
เมื่อเริ่มทาธุรกิจ เจฟฟ์บอกกับบรรดานักร่วมลงทุนรายแรกๆ ที่มาลงขันว่าธุรกิจนี้มีโอกาสที่จะล้มเหลวถึง 70% เพราะถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ แต่พวกเขาก็กล้าเสี่ยง หนึ่งในนักลงทุนเหล่านั้นมีแม่และพ่อเลี้ยงของเขารวมอยู่ด้วย พ่อแม่ของเขาได้ช่วยลงขันเงินจานวน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เงินจานวนนี้เป็นเงินก้อนสาคัญที่พ่อกับแม่สะสมมาเพื่อใช้ตอนเกษียน ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะบอกว่าการลงทุนครั้งนี้จะมีโอกาสประสบผลสาเร็จเพียงแค่ 30% เท่านั้นก็ตาม ผลปรากฎว่าธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เร็วเสียจนแม้กระทั่งเจฟฟ์และคนอื่นๆ ยังคาดไม่ถึง เจฟฟ์นา Amazon.com เข้าตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1997
บริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Barnes and Noble และ Borders ก็หันมากระโจนขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน แต่ 2 ปีต่อมา มูลค่าตลาดของหุ้นของ Amazon.com นั้นสูงกว่าบริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่ 2 เจ้านั้นรวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ตามธุรกิจขายของออนไลน์ของเจฟฟ์ไม่ได้หยุดแค่หนังสือ เขาเรียนรู้ว่าเขาสามารถเพิ่มมูลค่าการตลาดได้มากขึ้นโดยการเพิ่มสินค้าชนิดอื่นๆ เข้ามา จากเป้าหมายเดิมที่ต้องการให้ Amazon.com กลายเป็น “ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ณ เวลานี้เขามีเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาให้บริษัทของเขาเป็น “ร้านขายสินค้าทุกอย่างที่ใหญ่ที่สุดในโลก” อีกด้วย โดยสินค้าอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือซีดีเพลง วีดิโอ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย
ปลายปี ค.ศ. 1999 บรรดานักลงทุนที่ลงขันทาธุรกิจกับเขาในตอนแรกกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ปัจจุบันนี้หุ้นจานวนหนึ่งในสามส่วนถือครองโดยครอบครัวเบซอส แต่ในช่วงที่ฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมแตก มีบริษัทดอทคอมล้มหายตายจากไปจานวนมากมาย ช่วงเวลานั้น Amazon.com ก็ประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทจากที่มีมูลค่า 106 ดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1999 ลดลงเหลือแค่ 41.50 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2000 เพื่อรับมือกับวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมแตกในครั้งนี้ เจฟฟ์ต้องให้บริษัทปรับโครงสร้างใหม่ เขาต้องปลดพนักงานออกถึง 1,300 คนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2001 และปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อความอยู่รอด
10
สานักงานใหญ่ของ Amazon.com อยู่ที่ซีแอตเทิล แต่ปัจจุบันนี้บริษัทมีสาขาอยู่ในประเทศอื่นๆ อีกด้วย คือที่แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ณ ปี ค.ศ. 2008 มีพนักงานจานวน 20,500 คน มีรายได้ ปี ค.ศ. 2008 อยู่ประมาณ 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ณ วันนี้ Amazon.com กลายเป็นร้านขายของที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร้านขายของร้านนี้มีสินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้ลูกค้าสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตนับตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดยสินค้าหลักคือหนังสือ และจากความสาเร็จในการบริหารธุรกิจเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่คนทั่วโลกรู้จักมากที่สุดในโลก
ในปี ค.ศ. 1999 นิตยสารไทม์ ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี (Person of the Year) และในปี ค.ศ. 2008 นิตยสารด้านการข่าวอย่าง U.S. News & World Report ยกให้เขาเป็นหนึ่งใน American’s Best Leaders และในปี ค.ศ. 2008 นี้ เขาได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน (Carnegie Mellon University)
นอกจากนี้เขายังมองการณ์ไกลไปถึงธุรกิจระดับจักรวาลคือธุรกิจการบินอวกาศและการท่องอวกาศ ในปี ค.ศ. 2000 เจฟฟ์ก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Blue Origin ขึ้น มีสานักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ณ เวลานี้อยู่ในระหว่างช่วงกาลังทดลองและพัฒนาโครงการจรวดขนส่งยานอวกาศแบบวงโครจรต่าที่ชื่อว่า New Shepard อยู่ โดยมีศูนย์การทดลองและปฏิบัติการอยู่ที่เท็กซัส ที่ผ่านมามีการทดลองส่งยานขึ้นไปโคจรแล้วจานวน 3 ครั้ง คือในปี ค.ศ. 2006 ได้ทดลอง 1 ครั้ง ปี ค.ศ. 2007 ทดลอง 2 ครั้ง โดยใช้ยานที่มีชื่อว่า Goddard
ถึงแม้ว่าจะเริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แต่แผนการณ์นี้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการให้สื่อและสาธารณชนรับรู้ในปี ค.ศ. 2003 เนื่องจากเจฟฟ์ได้กว้านซื้อที่ดินที่รัฐเท็กซัสเพื่อใช้ในการทดลองนี้ บริษัทของเจฟฟ์มีแผนที่จะเปิดดาเนินการธุรกิจการท่องเที่ยวอวกาศในปี ค.ศ. 2010 โดยจะทาการส่งเที่ยวบินออกไปวงโคจรต่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ทุกคนเห็นเจฟฟ์ดูเป็นคนที่มีลักษณะดูสบายๆ มีอารมณ์ขัน และรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเจฟฟ์เป็นผู้บริหารที่ใส่ใจในทุกๆ
11
รายละเอียดของทุกขั้นตอนในการดำาเนินธุรกิจ เขาเป็นคนที่แน่วแน่ มีความคาดหวังต่อพนักงานว่าโครงการเตรียมงานต่างๆ ต้องเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วและต้องมีประสิทธิภาพสูง
ปัจจุบันนี้เจฟฟ์และครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล โดยเวลานี้พวกเขามีแผนการใหม่นั่นคือการตอบแทนสังคม เราคงต้องมาคอยติดตามดูกันต่อไปว่าเจฟฟ์จะทาสิ่งใดให้คนทั่วโลกจดจำนอกเหนือไปจากการสร้างธุรกิจ Amazon.com ที่กลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว


ID=2356,MSG=2654


⭐️ เราให้คำแนะนำปรึกษา รักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้า ของเรา
⭐️ เราอยู่เคียงข้างลูกค้าของเรา ช่วยเหลือ ดูแลบริการ
⭐️ เรารองรับช่องทางติดต่อมากมาย สะดวก เข้าถึงง่าย
⭐️ เราดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า20 ปี คุณจึงมั่นใจได้
⭐️ คุณมีสามารถรับบริการทั้งจากบริษัทประกันเจ้าของสินค้า และ เรา (ตัวกลาง)

ไทย มีราว 80 บริษัทประกันภัย สินค้าที่แตกต่าง ทั้ง เงื่อนไข ราคา เคลม ความมั่นคง นโยบาย ฯลฯ
ขายผ่านตัวกลาง กว่า 500,000 ราย : ตัวแทน นายหน้า ธนาคาร บิ๊กซี โลตัส ค่ายรถยนต์ เฮ้าส์แบรนด์ ของประกันภัย หรือ ซื้อตรงกับบริษัทเจ้าของสินค้า
⭐️ ตัวอย่าง การบริการ กดดูที่ลิงค์นี้

"สิ่งที่ต้องคำนึงอันดับแรกในการซื้อประกัน คือ ตัวกลางประกันภัย ซึ่งจะเป็นที่ปรึกษา ช่วยเหลือ ดูแลเรา ตลอดอายุกรมธรรม์"

โปรดรอ

display:inline-block; position:relative;
โทร.(จ-ศ : 9-16) เว้นวันหยุดฯ , ลูกค้าเรา บริการ 24/7/365 , Thursday เวลา 03:20:10pm ซื้อประกัน 085-911-3737
Copyright © 2018 Cymiz.com., All rights reserved.นโยบาย,ข้อตกลงcymiz.com